เมล็ดเจีย (Chiaseed) ธัญพืชตัวช่วยเพื่อสุขภาพ ขวัญใจสาวๆ ที่กำลังลดน้ำหนัก

ใครที่กำลังลดน้ำหนัก ไม่รู้จัก เมล็ดเจีย (Chiaseed) ไม่ได้เลย เพราะถือเป็นตัวช่วยในการลดน้ำหนักที่ดีมากๆ นอกจากจะช่วยลดน้ำหนักแล้ว เมล็ดเจียยังมีประโยชน์อื่นๆ อีก ถือว่าเป็นขุมทรัพย์ของสุขภาพดีๆ เลยก็ว่าได้ เป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ หลายคนที่กำลังควบคุมน้ำหนักอยู่ ใครที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับเมล็ดเจีย ไม่ต้องห่วงวันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักเอง จะดี จะมีประโยชน์แค่ไหน ตามไปดูกันเลย

เมล็ดเจีย (Chiaseed) คืออะไร?

เมล็ดเจีย หรือ เมล็ดเชีย เป็นธัญพืชเม็ดเล็กๆ ที่มีลักษณะคล้าย เม็ดแมงลัก แต่มีขนาดที่เล็กกว่า เมล็ดเจียถือเป็นพืชทะเลทราย

เป็นพืชในกลุ่มเครื่องเทศตระกูลเดียวกับกะเพรา หรือ มินต์ เติบโตได้ดีในพื้นที่ที่มีอากาศหนาวเย็น นิยมปลูกในประเทศเมืองหนาว เช่น เม็กซิโก สหรัฐอเมริกา อาร์เจนตินา โบลิเวีย เอกวาดอร์ ในไทยก็มีปลูกเหมือนกันในบางจังหวัดอย่าง ลำปาง กาญจนบุรี ฯ

เมล็ดเจีย (Chiaseed) มีที่มาจากไหน?

ตามหลักฐาน เมล็ดเจียเป็นพืชที่มีอายุยาวนานจนน่าตกใจ มีอายุมานานกว่า 3,500 ปีก่อนคริสตกาล นานจริงๆ ชาวแอซเท็กและชาวมายันนิยมนำมาทานเป็นอาหารหลักเหมือนกับธัญพืชทั่วๆ ไป ส่วนใหญ่จะนำเมล็ดเจียมาบดรวมกับแป้ง แล้วคั้นเอาน้ำมันออกมาไว้ดื่มหรือปรุงอาหาร แต่เมล็ดเจียก็กลายเป็นอาหารต้องห้าม ในยุคล่าอาณานิคมของสเปน เมื่อฝั่งอเมริกาใต้ตกเป็นเมืองขึ้นของสเปน ผู้นำสเปนประกาศว่า ห้ามเพาะพันธุ์เมล็ดเจียอีก ทำให้เมล็ดเจียค่อยๆ สูญพันธุ์ไป จนกระทั่งนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบพันธุ์พืชเมล็ดเจียอีกครั้งในยุคของอเมริกาสมัยใหม่ นักวิทยาศาสตร์จึงเกิดการค้นคว้าวิจัยถึงประโยชน์ของพืชชนิดนี้ และเริ่มมีการขยายสายพันธุ์กระทั่งกลายมาเป็นเมล็ดเจียที่เราใช้ทานกันจนทุกวันนี้

เมล็ดเจีย (Chiaseed) มีลักษณะยังไง?

เมล็ดเจียเป็นธัญพืชเม็ดเล็กๆ ต้นของเมล็ดเจีย ลำต้นจะสูงประมาณ 4-6 ฟุต เมล็ดมีสองสีคือขาวกับดำ เปลือกด้านนอกเมล็ดสามารถพองตัวได้เหมือนกับเม็ดแมงลัก แต่มีขนาดที่เล็กกว่า

เมล็ดเจีย (Chiaseed) มีสารอาหารอะไรบ้าง?

เมล็ดเจีย 1 ออนซ์ หรือประมาณ 28 กรัม  ให้พลังงานเพียง 137 แคลอรี ซึ่งอุดมด้วยสารอาหารต่างๆ

  • น้ำ                    1.4          กรัม
  • โปรตีน             4.4          กรัม
  • ไขมัน               8.6          กรัม
  • คาร์โบไฮเดรต 12.3        กรัม
  • ไฟเบอร์            10.6        กรัม
  • แมงกานีส         10.6        กรัม
  • แคลเซียม          177         มิลลิกรัม
  • ฟอสฟอรัส       265         มิลลิกรัม
  • โพแทสเซียม    44.8        มิลลิกรัม
  • โซเดียม            5.3          มิลลิกรัม

นอกจากนี้ในเมล็ดเจียยังมีสารอาหารอื่นๆ อีกมากมายไม่ว่าจะเป็น ซิงก์ วิตามินเอ วิตามินบี 1, 2, 3 และวิตามินบี 6 ที่สำคัญเมล็ดเจียยังมีโอเมก้า 3 สูงกว่าปลา 8 เท่า เมื่อเทียบที่น้ำหนักเท่ากัน เป็นธัญพืชเม็ดจิ๋วที่ประโยชน์ไม่จิ๋วจริงๆ

เมล็ดเจีย (Chiaseed) มีประโยชน์ยังไงบ้าง?

บำรุงหัวใจ ในเมล็ดเจียมีกรดไขมันดีโอเมก้า 3 และ โอเมก้า 6 ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในเลือด เกิดการไหลเวียนเลือดดีเข้าสู่หัวใจ ทำให้หัวใจของเราแข็งแรงขึ้น

บำรุงสมองและความจำ เมล็ดเจียมีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูงกว่าปลาแซลมอนถึง 9 เท่า ช่วยบำรุงสมองและระบบประสาทให้ทำงานเป็นปกติ ทำให้มีความจำที่ดีขึ้น

บำรุงกระดูก ป้องกันโรคกระดูกพรุน ในเมล็ดเจียมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม และโปรตีน ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อกระบวนการเสริมสร้างกระดูกและฟัน ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน และภาวะกระดูกบางได้

ช่วยลดน้ำหนัก ลดพุง  เมล็ดเจียมีไฟเบอร์และกรดอัลฟาลีโนเลนิกสูง ช่วยปรับสมดุลระบบเผาผลาญพลังงานของร่างกายได้ ช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มนานมากยิ่งขึ้น ลดน้ำหนัก ไขมัน และลดความเสี่ยงของการเกิดโรคจากภาวะอ้วน

ช่วยให้แผลหายเร็ว ลดการติดเชื้อ เมล็ดเจียมีกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นสารโพรสตาแกลนดิน มีฤทธิ์แก้อักเสบ ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด ช่วยให้บาดแผลหายเร็ว ไม่เรื้อรัง ป้องกันการติดเชื้อของบาดแผล

ช่วยต้านโรคเบาหวาน เมล็ดเจียมีไฟเบอร์สูง สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน ไฟเบอร์ในเมล็ดเจียจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคเบาหวานชนิดที่ 2

 เมล็ดเจีย (Chiaseed) ควรทานแค่ไหนถึงจะดี?

 อาหารทุกชนิดมีประโยชน์และมีโทษ ดังนั้นควรทานในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด

  • เด็กเล็ก อายุต่ำกว่า 10 ปี   ควรทานวันละไม่เกิน 1 ช้อนโต๊ะ
  • เด็กโต วัยรุ่น อายุตั้งแต่ 10 – 18 ปี ควรทานวันละ 1- 2 ช้อนโต๊ะ
  • ผู้ใหญ่ ควรทานวันละ 15 กรัม หรือ 2 ช้อนโต๊ะ
  • ผู้ที่ป่วยด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือด ควรทาน 33 – 41 กรัมในทุกๆ 3 เดือน แต่ต้องนำไปป่นก่อนทาน

เมล็ดเจีย (Chiaseed) ไม่เหมาะกับใครบ้าง?

  • คนที่มีปัญหาในระบบกระเพาะอาหารและลำไส้ มีแก๊สในกระเพาะอาหาร มีอาการกรดไหลย้อน
  • คนที่มีประวัติแพ้ยาแอสไพรินหรือคนที่ทำศัลยกรรมมา เพราะจะทำให้เลือดเกิดการแข็งตัวช้ามากกว่าปกติ
  • คนที่มีความดันโลหิตต่ำ เพราะอาจทำให้ช็อก หรือหมดสติไปได้
  • คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ ไม่ควรทานเกินวันละ 1 ช้อนโต๊ะ

ต้องยอมรับว่าเมล็ดเจีย หรือที่ใครหลายๆ คนเรียกว่าเมล็ดเซีย เป็นธัญพืชเม็ดเล็กๆ แต่ประโยชน์มหาศาลจริงๆ ถือเป็นอาหารทางเลือกอีกหนึ่งอย่างสำหรับคนที่รักสุขภาพ ซึ่งเอาไปผสมกับอาหารได้อย่างหลากหลาย ง่ายๆ เลยก็ทานกับโยเกิร์ต หรือจะใส่เป็นส่วนผสมของแพนเค้กก็ได้ อร่อยได้สุขภาพ อย่าลืมไปหามาลองทานกันดูน้า